วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

(4) กระบวนการผลิตน้ำยาง และยางแผ่น

          การปลูกต้นยางพาราเพื่อให้ได้น้ำยาง จะต้องใช้เวลาประมาณ 6 – 9 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา เมื่อต้นยางโตเต็มที่พร้อมที่จะกรีดน้ำยางได้ ผู้กรีดจะต้องมีความชำนาญ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดบาดแผลหรือเป็นอันตรายต่อเยื่อเจริญ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อความสามารถของต้นยางในการสร้างเปลือกงอกใหม่ และสามารถกรีดเปลือกงอกใหม่ได้อีกครั้ง ต้นยางสามารถให้น้ำยางได้นานกว่า 15 ปี การกรีดยางที่ถูกวิธี เจ้าของสวนยางจะได้รับผลผลิตยางเพิ่มขึ้น และต้นยางไม่เสียหาย การกรีดยางจึงจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ขนาดของต้นยาง ความลาดชันของรอยกรีด ความลึกของการกรีด ความสิ้นเปลืองเปลือก เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสวนยางอย่างเต็มที่และคุ้มค่า
** (ข้อมูลการกรีดยาง จากหนังสือคัมภีร์ยางพารา โดย ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์)

กระบวนการทำยางแผ่นรมควัน (โดยนายรัตน เพชรจันทร์)
          เจ้าของสวนยางในประเทศไทยเกือบทุกสวนยังคงทำยางแบบเก่า คือยางแผ่นรมควันและ คงจะต้องทำเช่นนี้ต่อไปรอจนกว่ารัฐหรือเอกชนจะสร้างโรงงานผลิตยางแท่งทั่วทุกท้องที่ที่มีการปลูกยาง ความสำคัญของการทำยางทุกชนิด ขึ้นอยู่กับความสะอาดเป็นสำคัญ ถ้าสะอาดมากก็ถือว่าเป็นยางชั้นดีมาก และขายได้ราคาสูง ฉะนั้น ในการทำยางแต่ละขั้น จะต้องระมัดระวังความสะอาด ต่อไปนี้จะได้กล่าวถึง วิธีทำยางแผ่นรมควันเป็นขั้น ๆ นับตั้งแต่ได้น้ำยางมาจากสวน ดังนี้

วัสดุและอุปกรณ์ ประกอบด้วย :
               1. กะบะทรงสูง เพื่อใส่น้ำยางที่ได้มาจากต้น
               2. ตะแกรงลวด เพื่อกรองเอาผงหยาบออกจากน้ำยาง
               3. ตะกงอลูมิเนียม หรือสังกะสี ใส่น้ำยางที่กรองและผสมแล้ว ขนาดกว้างยาวสูงประมาณ 45 x 26 x 7 เซนติเมตร บรรจุน้ำยางได้ประมาณ 6 - 7 ลิตร ทำยางได้หนักแผ่นละ 700 – 800 กรัม ถ้าเป็นสวนขนาดใหญ่ จะใช้ตะกงขนาดใหญ่ มีแผ่นกั้นเป็นช่องๆ ซึ่งเรียกว่า ตะกงตับ ทำยางได้ตะกงละ 150 แผ่น
               4. กรดฟอร์มิก กรดน้ำส้มหรือกรดอะเซติก สำหรับผสมกับน้ำยางเพื่อให้ยางแข็งตัว
               5. เครื่องรีดสำหรับรีดน้ำ และทำให้ยางบางลง
               6. ราวไม้ไผ่สำหรับตากแผ่นยางให้แห้ง

ขั้นตอนการผลิต


 ขั้นที่ 1  :  น้ำยางที่ได้มาจากสวนจะต้องกรองให้สะอาด การกรองครั้งแรกให้กรองด้วยตะแกรงลวด ที่ไม่เป็นสนิมหรือทองเหลือง ขนาด 40 รู เพื่อกรองเอาผงหยาบๆ ออก เช่นเศษเปลือกผงจากใบไม้หรือดินทราย ฯลฯ เมื่อกรองผงหยาบออกแล้ว เติมน้ำประมาณ ๑ เท่า เพื่อให้น้ำยางใส ควรใช้เครื่องวัดความเข้มข้นของน้ำยาง ให้น้ำยางสม่ำเสมอกัน มีเนื้อยางเท่าๆ กัน แผ่นยางบางและมีน้ำหนักเท่ากัน เมื่อนำเข้ารมในโรงรมควันจะได้สุกพร้อมกัน เมื่อเติมน้ำจนมีความเข้มข้นตามต้องการแล้ว โดยปกติจะเติมให้มีเนื้อยางผสมอยู่ในน้ำเพียงร้อยละ 15 (น้ำยางที่ได้มาจากต้นมีเนื้อยางแห้งประมาณร้อยละ 30 – 35 ของน้ำยางทั้งหมด) แล้วจึงกรองด้วยตะแกรงกรองชนิดละเอียดขนาด ๖๐ รู เทรวมลงไปในถังรวมน้ำยาง เพื่อให้น้ำยางทุกต้นผสมเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าเป็นสวนยางขนาดใหญ่ จะมีถังอะลูมิเนียมรวมน้ำยางขนาดจุ 3,000 – 4,000 ลิตร ปล่อยให้น้ำยางตกตะกอนประมาณ 20 - 30 นาที แล้วจึงเอาน้ำยางตอนบนๆ ไปใช้ทำแผ่นยางต่อไป ส่วนน้ำยางตอนล่างซึ่งมีเป็นจำนวนน้อยมาก อาจจะมีผงเล็กๆ ตกตะกอนอยู่บ้าง จะแยกเอาไปใช้ทำเป็นยางแผ่นชั้นต่ำ เพราะเป็นยางที่มีความสะอาดน้อยกว่า



ขั้นที่ 2  :  การนำน้ำยางที่กรองสะอาดแล้วใส่ตะกง  ถ้าเป็นสวนขนาดเล็ก จะนำน้ำยางที่กรอง และผสมน้ำแล้ว ตวงใส่ตะกงเดี่ยว ซึ่งทำด้วยอะลูมิเนียม หรือสังกะสี ขนาดกว้างยาวสูงประมาณ 45 x 26 x 7 ซม. บรรจุน้ำยางได้ประมาณ 6 - 7 ลิตร ทำยางได้หนักแผ่นละ 700 – 800 กรัม ถ้าเป็นสวนขนาดใหญ่ จะใช้ตะกงขนาดใหญ่ มีแผ่นกั้นเป็นช่องๆ ซึ่งเรียกว่า ตะกงตับ ทำยางได้ตะกงละ 150 แผ่น

         


ขั้นที่ 3  :  การผสมกรดฟอร์มิคตามอัตราที่กำหนดเพื่อให้น้ำยางแข็งตัว  การทำให้ยางจับตัวเป็นก้อน โดยค่อย ๆ ผสมน้ำกรดฟอร์มิกกับน้ำให้เจือจางเพียง 1- 2% เทลงไปในน้ำยางตามอัตราส่วน ถ้าจะให้ยางแข็งตัวจับเป็นก้อนในวันรุ่งขึ้น จะใช้กรดเพียง 4 ซีซี / เนื้อยางแห้ง ๑,๐๐๐ กรัมหรือ ๑ กิโลกรัม ถ้าจะให้ยางแข็งตัวภายใน ๑-๒ ชั่วโมง ก็ให้ใช้กรดฟอร์มิกมากขึ้น เป็น ๘-๑๐ ซีซี / ยางแห้ง ๑,๐๐๐ กรัม ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้กรดฟอร์มิกประมาณ ๑% ของน้ำหนักเนื้อยางแห้ง การใส่กรดลงไปในน้ำยางต้องค่อย ๆ ใส่ลงไปทีละน้อย แล้วรีบคนให้ทั่ว เพื่อไม่ให้น้ำยางตรงที่ถูกกรดจับตัวเป็นก้อนในทันทีทันใด เมื่อใส่น้ำกรดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตักฟองออก ระวังไม่ให้สิ่งสกปรกหรือฝุ่นตกลงไป
           น้ำกรดที่ทำให้ยางจับตัวเป็นก้อน มิใช่มีแต่กรดฟอร์มิกแต่อย่างเดียว กรดน้ำส้มหรือกรดอะเซติกก็ใช้ได้ดี ถ้าใช้กรดน้ำส้มจะต้องใช้เพิ่มขึ้นประมาณเกือบเท่าตัวของกรดฟอร์มิก กรดกำมะถันก็ใช้ได้และราคาก็ถูกกว่า แต่การใช้ค่อนข้างยาก ต้องใช้การคำนวณให้แน่นอน ถ้าใช้มากไปน้อยไปทำให้ยางเสียได้ง่าย ขณะนี้ปรากฏว่า ยางเสียหายมาก ทั้งนี้เพราะน้ำกรดที่ขายในตลาดไม่ทราบว่ากรดอะไรแน่นอน จึงไม่แนะนำให้ใช้กรดกำมะถันและกรดชนิดอื่นๆ



ขั้นที่ 4  :  การนวดไล่น้ำออก เพื่อเตรียมเข้าเครื่องรีดทำเป็นแผ่น  เมื่อยางในตะกงจับตัวเป็นก้อนดีแล้ว ตัวก้อนยางจะจับตัวเป็นแผ่นลอยอยู่เหนือน้ำ และน้ำที่อยู่รอบ ๆ ยางจะใส (ถ้าน้ำขุ่นอยู่แสดงว่า ยังจับตัวกันไม่เรียบร้อย)  ให้เอาน้ำสะอาดราดลงบนยางเพื่อไล่ฝุ่นละอองออก แล้วนำตะกงยางคว่ำลงบนโต๊ะที่ล้างสะอาดดีแล้วมาทีละแผ่น ใช้ไม้ลูกกลิ้งหรือขวดเบียร์ค่อย ๆ กลิ้งและกดให้แบนจนตลอดแผ่น เพื่อไล่น้ำออกตรงปลายที่จะนำเข้าเครื่อง (ทางด้านกว้าง) ทำให้แบนมาก ๆ จะได้ส่งเข้าเครื่องรีดได้สะดวก
          เครื่องรีดยางหรือเครื่องทำแผ่นยางที่กล่าวนี้ คล้าย ๆ กับเครื่องรีดปลาหมึก แต่ใหญ่กว่ามากใช้มือหมุน มีลูกกลิ้ง 1 คู่ ยาวประมาณ 50 – 60 เซนติเมตร (20 - 24 นิ้ว) เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เซน ติเมตร (4 นิ้ว) มีที่ขันให้ลูกกลิ้งทั้งสองเบียดกันหรือห่างกันได้ เครื่องรีดยางชุดหนึ่งอย่างน้อยจะต้องมี 2 เครื่อง คือ เครื่องรีดเกลี้ยง ๑ เครื่อง และเครื่องรีดดอกอีก 1 เครื่อง ที่ลูกกลิ้งทั้ง 2 อันของเครื่องรีดดอกนั้น มีร่องเป็นเกลียวรอบตัวและเต็มลูกกลิ้ง แต่ละร่องมีขนาดกว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร วนเอียงประมาณ 45 องศา ขนานกันทุกร่อง จากปลายข้างหนึ่งไปยังปลายอีกข้างหนึ่ง
          ยางที่แข็งตัวและนวดให้ส่วนน้ำออกไปบ้างแล้ว จะนำเข้าเครื่องรีดเกลี้ยง 2 - 3 ครั้ง จนแผ่นยางบางประมาณ 2 - 3 มิลลิเมตร จึงนำเข้าเครื่องรีดดอก ยางแผ่นจะปรากฏเป็นร่องเล็ก ๆ เฉียงพาดไปทั่วแผ่น ทั้งนี้ เพื่อทำให้เกิดเนื้อที่มากขึ้นกว่าแผ่นเลี่ยน ๆ ซึ่งจะสามารถรับความร้อนและควันได้มาก จนทำให้ยางสุกทั่วแผ่นเร็วขึ้น
          ส่วนสวนยางขนาดใหญ่ จะไม่ใช้เครื่องรีดด้วยมือ ดังกล่าวนี้ เพราะทำได้ช้า จะใช้เครื่องรีดยางอัตโนมัติ เครื่องรีดยางชนิดนี้จะมีลูกกลิ้ง 4 - 5 คู่เรียงเกือบชิดกัน คู่สุดท้ายจะเป็นลูกกลิ้งดอก เครื่องหนึ่งจะทำยางแผ่นได้ชั่วโมงละ 700 - 800 แผ่นขึ้นไป
          ยางที่รีดเป็นแผ่นเสร็จแล้ว จะนำไปแช่น้ำ อาจจะเป็นในอ่างใหญ่หรือบ่อซีเมนต์ที่มีน้ำไหลผ่านเข้าและออกได้ตลอดเวลา เพื่อไล่น้ำกรดและสิ่งสกปรก หรือ คราบน้ำมันของเครื่องรีดดอกให้หมด แช่ไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง



ขั้นที่ 5  :  การนำยางมาผึ่งบนราว ภายหลังจากรีดเป็นแผ่น และแช่น้ำล้างจนสะอาด  เมื่อแช่ยางล้างน้ำกรดออกเสร็จแล้ว นำยางไปผึ่งบนราวไม้ไผ่หรือลวดเพื่อให้แห้ง เมื่อแห้งหรือน้ำหยุดหยดจากยางแล้ว นำเข้ารมในโรงรมต่อไป ในทางปฏิบัติ เจ้าของสวนยางขนาดเล็กมักจะขายยางแผ่นที่แห้งแล้วให้ผู้ค้ายาง หรือผู้ส่งยางออกนอกประเทศ ซึ่งผู้ค้ายางหรือผู้ส่งยางออกจะนำยางที่ซื้อไปรมควัน ยางแผ่นที่ไม่รมจะส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศไม่ได้เพราะไม่มีผู้ซื้อยางชนิดนี้
          ส่วนสวนยางขนาดใหญ่ จะมีรถรมยางเดินบนรางเหล็กมารับยางที่แช่น้ำแล้ว เอาไปผึ่งบนราวไม้บนรถรมยาง รถรมยางดังกล่าวนี้ มีขนาดกว้างยาวสูงประมาณ 215 x 275 x 310 เซนติเมตร พาดยางได้คันละประมาณ 400 – 600 แผ่น ในการรมจะนำเข้ารมทั้งรถทั้งยาง นับว่าสะดวกดีมาก
          โรงรมยาง จากขนาดของสวนยาง โรงรมยางจึงมีหลายแบบ คือ แบบจิ๋ว รมได้ครั้งละประมาณ 100 - 150 แผ่น โรงรมแบบ 2 ชั้น มีหลายขนาด รมได้ตั้งแต่ 1,000 – 30,000 แผ่น แต่โรงรมเหล่านี้ ต้องใช้แรงงานคนเอายางเข้าไปในโรงรม โดยพาดไว้บนราวไม้ให้เป็นระเบียบ เมื่อรมสุกแล้ว ต้องเข้าไปลำเลียงเอาออกมา
          ส่วนสวนยางขนาดใหญ่จะใช้รถรมยางเข้าช่วย เมื่อต้องใช้รถรมยาง โรงรมยางก็ต้องทำให้เหมาะกับรถรมยางที่ต้องเดินบนรางเหล็ก โรงรมยางสำหรับรถรมยางจึงมี 2 แบบ คือ แบบห้องแถว และ แบบอุโมงค์ สำหรับแบบห้องแถว รถรมยางจะถูกนำเข้ารมเป็นห้อง ๆ มีความร้อนและควันแยกเข้าเป็นห้อง ๆ ไป ส่วนแบบอุโมงค์นั้นเป็นเหมือนอุโมงค์รถไฟ คือ เข้าทางเดียว  เมื่อเข้าไปแล้วจะถอยกลับทางเก่าไม่ได้ ต้องออกอีกทางหนึ่ง

ความสำคัญของโรงรมยางที่ดีนั้น จะต้องประกอบด้วยลักษณะต่อไปนี้
               (1) กระจายความร้อนได้สม่ำเสมอเท่ากันทั่วห้อง เว้นแต่แบบอุโมงค์ความร้อนตรงตอนที่จะออกจะสูงกว่าตรงตอนแรกที่เข้าไป
               (2) มีการควบคุมอุณหภูมิได้ดี
               (3) การระบายอากาศดี
               (4) มีการป้องกันไฟไหม้ไว้เป็นอย่างดี
               (5) น้ำที่หยดจากยางมีทางไหลออกได้เร็วดี
               (6) ควัน และความร้อนไม่รั่วไหลออกได้

ขั้นที่ 6  :  การทำห่อยาง เมื่อได้คัดเลือกยางเป็นชั้น ๆ ดีแล้ว จะต้องห่อยางให้เป็นไปตามข้อบังคับสากล ซึ่งสมาคมผู้ค้ายางของประเทศต่าง ๆ ได้ตกลงกันไว้ คือ จะต้องใช้ยางที่มีคุณภาพชั้นเดียวกันห่อยาง ยางห่อหนึ่งจะต้องอัดให้แน่น ให้มีน้ำหนักตั้งแต่ 224 - 250 ปอนด์ (10 ห่อจะเท่ากับน้ำหนัก 1 ตัน) ไม่ต้องมีลวดรัด ห่อหนึ่งจะมีปริมาตรประมาณ 5 ลูกบาศก์ฟุต ฉะนั้น การห่อยางจะต้องห่อให้กว้าง ยาว สูงประมาณ 20 x 24 x 18 นิ้ว การทำห่อโดยวิธีอื่น เรือเดินทะเลจะไม่รับขนส่งให้
          ยางทุกห่อจะต้องทาด้วยแป้งสีขาว ตามสูตรการผสมแป้งของข้อบังคับสากล ทั้งนี้เพื่อมิให้ห่อยางติดกัน และจะต้องเขียนบอกชั้นของยางไว้ 2 ด้าน โดยใช้ตัวอักษรใหญ่ขนาด 8 นิ้ว ชื่อของบริษัทผู้ส่งยางออก จะต้องเขียนให้เห็น 2 ด้านช่นกัน โดยใช้ตัวอักษรขนาด 5 นิ้ว ถ้าจะมีเลขบอกครั้งที่หรือจำนวนก็ให้เขียนไว้ใต้ชื่อของบริษัทผู้ส่งยางออกโดยใช้เขียนด้วย 5 นิ้ว
** (ข้อมูลกระบวนการทำยางแผ่นรมควัน โดยนายรัตน์ เพชรจันทร)

1 ความคิดเห็น:

  1. วันนี้มีคนติดต่อซื้อไม้ไผ่มาจากจังหวัดสุราษ... ดีใจครับ คือเผิ่งจะรู้ว่าพี่น้องเกษตรกรที่ทำยางพาราก็ใช้ไม้ไผ่ทำราวตากยางด้วย ก็เลยลองหาข้อมูลดู สู้ๆนะครับ เป็นกำลังใจให้คนทำมาหากินคับ (ไผ่พญา บูรพา)

    ตอบลบ